เมนู

อรรถกถามหาสุวราชชาดกที่ 3



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งจึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ทุโม ยถา โหติ ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุรูปนั้นเรียนพระกรรมฐานในสำนักพระศาสดา
แล้วไปอยู่ในป่าอาศัยบ้านชายแดนตำบลหนึ่ง ในแคว้นโกศลชนบท
พวกมนุษย์ช่วยกันปลูกสร้างที่พักกลางคืนและที่พักกลางวันเป็นต้น แล้ว
ทำเสนาสนะในที่เดินไปมาถวายภิกษุนั้น บำรุงภิกษุนั้น โดยเคารพ
เมื่อภิกษุนั้นจำพรรษา เดือนแรกเกิดเพลิงไหม้บ้านนั้นขึ้น แม้สักว่า
พืชของพวกมนุษย์ก็ไม่มีเหลือ เขาจึงไม่อาจถวายบิณฑบาตที่ประณีต
แก่ภิกษุนั้นได้ เธอแม้จะอยู่ในเสนาสนะที่สบาย แต่ลำบากด้วยบิณฑบาต
จึงไม่สามารถจะให้มรรคหรือผลเกิดขึ้นได้ ครั้นกาลล่วงไปได้สามเดือน
เธอมาเฝ้าพระศาสดา พระองค์ทรงทำปฏิสันถาร แล้วตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุ เธอไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตหรือ ? เสนาสนะเป็นที่สบายดี
หรือ ? ภิกษุรูปนั้นได้กราบทูลความนั้นให้ทรงทราบ พระศาสดาครั้น
ทรงทราบว่า เธอมีเสนาสนะเป็นที่สบาย จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ธรรมดาสมณะ เมื่อมีเสนาสนะเป็นที่สบายแล้ว ก็ควรละความโลภ
อาหารเสีย ยินดีฉันตามที่ได้มานั่นแหละ กระทำสมณธรรมไป โบราณก-
บัณฑิตทั้งหลาย แม้เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เคี้ยวผงแห้งในต้นไม้ที่ตน
อยู่อาศัย ยังละความโลภอาหาร มีความสันโดษ ไม่ทำลายมิตรธรรม

ไปเสียที่อื่น เหตุไรเธอจึงมาคิดว่า บิณฑบาตน้อยไม่อร่อย แล้วละทิ้ง
เสนาสนะที่สบายเสีย ? ภิกษุนั้นทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว จึงทรง
นำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ที่ป่าไม้มะเดื่อแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งคงคา ณ
หิมวันตประเทศ มีนกแขกเต้าอาศัยอยู่หลายแสน บรรดานกแขกเต้า
เหล่านั้น พญานกแขกเต้าตัวหนึ่ง เมื่อผลของต้นไม้ที่ตนอาศัยอยู่หมด
ลง สิ่งใดที่ยังเหลืออยู่ จะเป็นหน่อ ใบ เปลือกหรือสะเก็ดก็ตาม ก็
กินสิ่งนั้น แล้วดื่มน้ำในแม่น้ำคงคา มีความมักน้อยสันโดษเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ไปที่อื่นเลย ด้วยคุณ คือความมักน้อยสันโดษอย่างยิ่งของพญานก
แขกเต้านั้น ได้บันดาลให้ภพของท้าวสักกเทวราชหวั่นไหว ท้าวสักก-
เทวราชทรงพิจารณาดูก็รู้เห็นเหตุนั้น เพื่อจะลองใจพญานกแขกเต้า
จึงบันดาลให้ต้นไม้นั้นแห้งไป ด้วยอานุภาพของพระองค์ ต้นไม้นั้น
เหลืออยู่แต่ตอแตกเป็นช่องน้อยช่องใหญ่ เมื่อถูกลมพัด ก็มีเสียงปรากฏ
เหมือนมีใครมาตีให้ดัง มีผงละเอียดไหลออกมาตามช่องต้นไม้นั้น
พญานกแขกเต้าจิกผงเหล่านั้นกิน แล้วไปดื่มน้ำที่แม่น้ำคงคา ไม่ไป
ที่อื่น มาจับอยู่ที่ยอดตอไม้มะเดื่อ โดยไม่ย่อท้อต่อลมและแดด.
ท้าวสักกเทวราชทรงทราบความที่พญานกแขกเต้านั้น มีความ
มักน้อยอย่างยิ่ง ทรงดำริว่า เราจักให้พญานกแขกเต้าแสดงคุณใน
มิตรธรรม แล้วจักให้พรแก่เธอ ทำต้นมะเดื่อให้มีผลอยู่เรื่อยไป แล้ว

จะกลับมา ครั้นทรงดำริดังนี้ แล้วจึงทรงแปลงพระองค์เป็นพญาหงส์
ตัวหนึ่ง นำนางสุชาดาอสุรกัญญาให้เป็นนางหงส์อยู่เบื้องหน้า บินไป
ถึงป่าไม้มะเดื่อนั้น จับอยู่ที่กิ่งไม้มะเดื่อต้นหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน เมื่อจะ
เริ่มเจรจากัน พญานกแขกเต้านั้น ได้ตรัสคาถาที่ 1 ว่า :-
เมื่อใด ต้นไม้มีผลบริบูรณ์ เมื่อนั้น ฝูง
วิหคทั้งหลาย ย่อมพากันมามั่วสุมบริโภคผลไม้
ต้นนั้น แต่โดยรู้ว่าต้นไม้สิ้นไปแล้ว ผลวาย
แล้วฝูงวิหคทั้งหลายก็พากันจากต้นไม้นั้นบิน
ไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่.

บัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่งคาถานั้นว่า ดูก่อนพระยานกแขก-
เต้า เมื่อใด ต้นไม้มีผลสมบูรณ์ เมื่อนั้น ฝูงวิหคทั้งหลายย่อมพากัน
มามั่วสุมบริโภคผลไม้ต้นนั้นจากกิ่งโน้นสู่กิ่งนี้ แต่โดยรู้ว่าต้นไม้นั้นสิ้น
ไปแล้ว ผลวายไปแล้ว ฝูงวิหคทั้งหลายก็พากันจากต้นไม้นั้นบินไปสู่
ทิศน้อยทิศใหญ่.
ก็แหละ ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว เพื่อจะทรงยุพญานกแขกเต้า
ให้ไปจากที่นั้น จึงตรัสคาถาที่ 2 ว่า :-
ดูก่อนนกแขกเต้าผู้มีจะงอยปากแดง
ท่านจงไปยังที่ที่ควรไปเถิด อย่าได้มาตายเสีย

เลย เหตุไรท่านจึงซบเซาอยู่ที่ต้นไม้แห้ง ดูก่อน
นกแขกเต้า ผู้มีขนเขียวดุจไพรสณฑ์ในฤดูฝน
เชิญเถิด ขอท่านจงบอกเรื่องนั้น เหตุไรท่าน
จึงทิ้งต้นไม้แห้งไม่ได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฌายสิ ความว่า เหตุไรท่านจึง
ยืนซบเซา คืองมงายอยู่ที่ยอดตอไม้แห้ง. ศัพห์ว่า อิงฺฆ เป็นนิบาต
ลงในอรรถว่าเตือน.
บทว่า วสฺสนฺตสนฺนิภา ความว่า ในเวลาฤดูฝนไพรสณฑ์
จะมีสีเขียวชะอุ่ม เหมือนดาดาษไปด้วยชั้นที่สวยงาม เพราะเหตุนั้น
พญาหงส์จึงทักทายพญานกแขกเต้านั้นว่า ดูก่อนพญานกแขกเต้า
ผู้มีขนเขียวดุจไพรสณฑ์ในฤดูฝน ดังนี้. บทว่า น ริญฺจสิ เท่ากับ
ฉฑฺเฑสิ
แปลว่า ทิ้งไม่ได้.
ลำดับนั้น พญานกแขกเต้ากล่าวกะพญาหงส์ว่า ข้าแต่
พญาหงส์ เราละทิ้งต้นไม้นี้ไปไม่ได้ เพราะความที่เรามีกตัญญูกตเวที
แล้วได้กล่าวคาถา 2 คาถาว่า.
ข้าแต่พญาหงส์ ชนเหล่าใดแลเป็น
เพื่อนของพวกเพื่อน ในคราวร่วมสุขทุกข์จน
ตลอดชีวิต ชนเหล่านั้นเป็นสัตบุรุษ ระลึกถึง

ธรรมของสัตบุรุษอยู่ ย่อมละทิ้งเพื่อนผู้สิ้น
ทรัพย์หรือยังไม่สิ้นทรัพย์ไปไม่ได้เลย.
ข้าแต่พญาหงส์ เราก็เป็นผู้หนึ่งใน
บรรดาสัตบุรุษ ต้นไม้นี้เป็นทั้งญาติเป็นทั้ง
เพื่อนของเรา เราต้องการเพียงเพื่อเป็นอยู่ จึง
ไม่อาจละทิ้งต้นไม้นั้นไปได้ ก็การที่จะละทิ้ง
ไปเพราะได้ทราบว่า ต้นไม้นี้สิ้นผลแล้ว ดังนี้
นี้ไม่ยุติธรรม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เย เว สขีนํ สขาโร ภวนฺติ
เท่ากับ เย จ สหายานํ สหายา โหนฺติ แปลว่า ชนเหล่าใดเป็นเพื่อน
ของเพื่อนทั้งหลาย. บทว่า ขีณํ อขีณํ ความว่า ธรรมดาว่า บัณฑิต
ทั้งหลายย่อมละทิ้งเพื่อนผู้ชื่อว่าสิ้นทรัพย์ เพราะสิ้นสหายและโภค-
ทรัพย์ของตนไปไม่ได้เลย. บทว่า สตํ ธมฺมมนุสฺสรนฺโต คือระลึกถึง
ประเพณีของบัณฑิตทั้งหลายอยู่. บทว่า ญาตี จ เม ความว่า ข้าแต่
พญาหงส์ ต้นไม้นี้ ชื่อว่า เป็นทั้งญาติของเรา เพราะอรรถว่าเป็นที่รัก
สนิทสนม ชื่อว่า เป็นทั้งเพื่อนของเรา เพราะอยู่ร่วมป่ากับเรา. บทว่า
ชีวิกตฺโถ ความว่า เราต้องการเพียงเพื่อเป็นอยู่ จึงไม่อาจจะทิ้งต้นไม้
นั้นไปได้.

ท้าวสักกเทวราช ทรงสดับถ้อยคำของพญานกแขกเต้านั้นแล้ว
ทรงยินดีตรัสสรรเสริญ ประสงค์จะประทานพร จึงตรัสคาถา 2 คาถา
ว่า :-
ความเป็นเพื่อน ความไมตรี ความสนิท
สนมกัน ท่านได้ทำไว้เป็นพยานดีแล้ว ถ้าท่าน
ชอบใจธรรมนั้น ท่านก็เป็นผู้ควรที่วิญญูชน
ทั้งหลายพึงสรรเสริญ.
ดูก่อนพญานกแขกเต้า ผู้ชาติวิหคมีปีก
เป็นยาน มีคอโค้งเป็นสง่า เรานั้นจะให้พรแก่
ท่าน ท่านจงเลือกเอาพร ตามที่ใจปรารถนา
เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาธุ ความว่า ท่านได้ทำไว้เป็น
พยานดีแล้ว ด้วยความร่าเริง. บทว่า เมตฺติ สํสติ สนฺถโว ได้แก่
ความเป็นเพื่อน ความไมตรี และความสนิทสนมในท่ามกลางบริษัท
ความไมตรีดังว่านี้ใด อันท่านได้ทำไว้ดีแล้ว คือทำไว้ดีนักแล้ว ได้แก่
ทำไว้ประเสริฐแล้วเทียว. บทว่า สเจตํ ธมฺมํ ความว่า ถ้าท่านชอบใจ
ธรรม คือความไมตรีนั้น. บทว่า วิชานตํ ความว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น
ท่านก็เป็นผู้ควรที่วิญญูชนทั้งหลายพึงสรรเสริญ. บทว่า โส เต คือ

เรานั้นจะให้พรแก่ท่าน. บทว่า วรสฺสุ เท่ากับ อิจฺฉ แปลว่า จง
ปรารถนา. บทว่า มนสิจฺฉสิ ความว่า ท่านปรารถนาพรอย่างใด
อย่างหนึ่งด้วยใจ เราจะให้พรนั้นทั้งหมดแก่ท่าน.
พญานกแขกเต้า เมื่อจะเลือกรับพร ได้กล่าวคาถาที่ 7 ว่า :-
ข้าแต่พญาหงส์ ถ้าท่านจะให้พรแก่
ข้าพเจ้าไซร้ ก็ขอให้ต้นไม้นี้พึงได้มีอายุต่อไป
ต้นไม้นั้นจงมีกิ่ง มีผลงอกงามดี มีผลมีรส
หวานเหมือนน้ำผึ้ง ตั้งอยู่อย่างสง่างามเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาขวา คือจงสมบูรณ์ด้วยกิ่ง.
บทว่า ผลิมา คือจงประกอบด้วยกิ่งที่มีผล. บทว่า สํวิรูฬฺโห คือ
จงมีใบงอกงามโดยชอบ ได้แก่ จงสมบูรณ์ด้วยใบอ่อน. บทว่า มธุตฺถิโก
คือจงมีผลมีรสหวาน เหมือนน้ำหวานดุจน้ำผลในผลมะซาง ซึ่งมีอยู่
โดยธรรมชาติ ฉะนั้น.
ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราช เมื่อจะประทานพรแก่พญานก
แขกเต้านั้น ได้กล่าวคาถาที่ 8 ว่า :-
ดูก่อนสหาย ท่านจงดูต้นไม้นั้น ซึ่งมี
ผลมากมาย ขอให้ท่านจงอยู่ร่วมกับต้นมะเดื่อ
ของท่าน ขอให้ต้นมะเดื่อนั้นจงมีกิ่งก้าน มีผล

งอกงามดี มีผลมีรสหวานเหมือนน้ำผึ้ง ตั้งอยู่
อย่างสง่างามเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สหาว เต โหตุ อุทุมฺพเรน
ความว่า การอยู่ร่วมโดยความเป็นอันเดียวกันด้วยต้นมะเดื่อ จงมี
แก่ท่าน.
ก็แหละ ท้าวสักกเทวราช ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ก็กลายเพศ
หงส์กลับเป็นท้าวสักกเทวราชตามเดิม แสดงอานุภาพของพระองค์กับ
นางสุชาดา เอาพระหัตถ์วักน้ำจากแม่น้ำคงคามาประพรมตอไม้มะเดื่อ
ทันใดนั้น ต้นมะเดื่อซึ่งสมบูรณ์ด้วยกิ่งและค่าคบ มีผลอันอร่อย ก็ตั้ง
ขึ้นยืนต้นอยู่อย่างงามสง่า เหมือนมุณฑมณีบรรพ ฉะนั้น พญานก
แขกเต้าเห็นดังนั้นแล้ว เกิดโสมนัส เมื่อจะสรรเสริญท้าวสักกเทวราช
ได้กล่าวคาถาที่ 9 ว่า :-
ข้าแต่ท้าวสักกะ ขอให้พระองค์ทรง
พระเจริญสุข พร้อมกับพระญาติทั้งปวง เหมือน
ข้าพระบาท มีความสุขเพราะรู้เห็นต้นไม้
ผลิตผลในวันนี้ ฉะนั้นเถิด.

ส่วนท้าวสักกเทวราช ครั้นประทานพรแก่พญานกแขกเต้านั้น
แล้ว ทรงทำต้นมะเดื่อให้มีผลเรื่อยไป แล้วเสด็จกลับวิมานของพระองค์

พร้อมกับนางสุชาดา
พระศาสดาได้ทรงวางอภิสัมพุทธคาถา ที่ให้แสดงถึงเนื้อความ
นั้นไว้ในตอนสุดท้ายว่า :-
ท้าวสักกเทวราชประทานพร แก่พญา-
นกแขกเต้า ทำต้นไม้ให้มีผลแล้ว พาพระ-
มเหสีเสด็จกลับเทพนันทนวัน.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา แล้วตรัสว่า
นี่แหละเธอ โบราณกบัณฑิตแม้เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานยังไม่โลภอาหาร
เธอบวชในศาสนาเห็นปานนี้ ไฉนจึงยังโลภอาหารอยู่ เธอจงไปอยู่ใน
ที่นั่นแหละ ดังนี้ แล้วทรงสอนพระกรรมฐานแก่ภิกษุนั้น ครั้นเธอ
ไปอยู่ที่นั้นแล้ว เจริญวิปัสสนา ได้บรรลุพระอรหัต พระพุทธองค์
ทรงประชุมชาดกว่า ท้าวสักกเทวราชในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอนุรุทธะ
ในบัดนี้ พระยานกแขกเต้าในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามหาสุวราชชาดกที่ 3

4. จุลลสุวกราชชาดก



ว่าด้วยผู้รักษาไมตรี



[1236] ต้นไม้ทั้งหลายที่มีใบเขียว มีผลดก
มีอยู่เป็นอันมาก เหตุไรพญานกแขกเต้าจึง
มีใจยินดีในต้นไม้แห้งผุเล่า.
[1237] เราเคยบริโภคผลแห่งต้นไม้นี้นับได้
หลายปีมาแล้ว ถึงเราจะรู้ว่าต้นไม้นี้ไม่มีผล
แล้ว ก็ต้องรักษาความไมตรีไว้ให้เหมือนดัง
ก่อน.
[1238] นกทั้งหลายย่อมละทิ้งต้นไม้แห้งผุ ขาด
ใบไร้ผลไปในที่อื่น ดูก่อนพญานกแขกเค้า
ท่านเห็นโทษอะไรหรือ ?
[1239] นกเหล่าใดคบหาฉันเพราะต้องการผล
ไม้ ครั้นรู้ว่าต้นไม้นั้นไม่มีผล ก็ละทิ้งต้นไม้
นั้นไปเสียนกเหล่านั้นโง่เขลา มีปัญญาที่เห็น
แก่ตัว มักทำฝักใฝ่แห่งมิตรภาพให้ตกไป.